Accessibility Tools

Skip to main content

แรงบันดาลใจของใครคนหนึ่ง

Published —

       เมื่อตอนฉันยังเป็นเด็ก ทุกครั้งที่มองเห็นรถบัสสีขาวม่วงขับผ่านไปในตอนเช้า ก่อนที่ตัวฉันจะเดินทางไปถึงโรงเรียน ฉันรู้แค่ว่า รถสีขาวม่วงคันนั้นเป็นรถรับส่งเด็กนักเรียนตาบอด ตัวฉันเองมักเกิดความสงสัยและมี คำถามอยู่เสมอ เด็กตาบอดต้องไปโรงเรียนด้วยเหรอ? เด็กตาบอดเขาใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร?

       เด็กตาบอดมีใครเป็นคนช่วยเขาหรือเปล่า? เด็กตาบอดสามารถอยู่กับพวกเราได้ด้วยเหรอ? มันเป็น คำถามที่อยู่ในใจตลอดมา และทุกครั้งที่ได้พบเจอคนตาบอด ไม่ว่าจะบนสะพานลอย ป้ายรถเมล์หรือตลาดนัด ที่กำลังประกอบอาชีพวนิพกอยู่นั้น ในใจของฉันมักรู้สึกหดหู่และเกิดความสงสาร เวรกรรมอะไรหนอ ทำไมเขาถึงเกิดมาเป็นเช่นนี้ ฉันได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้เรื่อยมา เวลาผ่านไปโชคชะตาก็นำพาฉันให้ได้เข้ามาทำงานอยู่ในมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงมีโอกาสได้พบ ได้เห็น ได้รู้จักคนตาบอดในมุมมองที่เปลี่ยนไป

       คนตาบอดที่นี่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่หรือเกิดความรู้สึกเวทนาสงสารเลยแม้แต่น้อย พวกเขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดี เทียบเท่ากับฉันที่มีร่างกายครบ 32 ประการ และบางครั้งอาจจะใช้ชีวิตได้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่างเช่น การใช้โทรศัพท์ การใช้คอมพิวเตอร์ หรือการใช้เทคโนโลยีต่างๆที่ดูจะแคล่วคล่องและว่องไวกว่าฉันเป็นไหนๆ พวกเขาสามารถสั่งซื้ออาหารหรือสินค้าผ่านแอปพลิเคชันต่างๆได้โดยไม่ต้องร้องขอให้ฉันช่วย มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจ และประทับใจไปในคราวเดียวกัน เมื่อได้ทำงานเรื่อยมาจึงได้รู้ว่า ทักษะและความรู้ต่างๆที่นักเรียนตาบอดทำได้และใช้ชีวิตเป็นนั้น เกิดจากการเลี้ยงดูเอาใจใส่ของครูและบุคลากรทุกคน ครูทุกคนถ่ายทอดความรู้ด้วยความรักศิษย์ ทุ่มเทเวลาเพื่ออบรมเลี้ยงดู ด้วยความตั้งใจให้ศิษย์ตาบอดทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยอิสระเป็นภาระแก่คนอื่นน้อยที่สุด
     

       เด็กๆทุกคนได้รับความรัก ได้รับการเอาใจใส่เสมือนลูก ครูหอพักทำหน้าที่เสมือนพ่อและแม่ของเด็กๆ ทุกคนจึงมีความสุข ร่าเริง แจ่มใส ซุกซนบ้างตามวัยของพวกเขา และด้วยความรักที่พวกเขาได้รับกอปรกับความตั้งใจทำหน้าที่ของครูและบุคลากรทุกคน ส่งเสริมให้เขาพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่


       เมื่อได้เห็นแบบนั้น ทำให้ฉันคิดได้ว่าถึงแม้โลกนี้มันจะบูดๆเบี้ยวๆไปบ้าง ถึงชีวิตจะต้องเจอกับความทุกข์บ้างในบางจังหวะ แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ตลอดไป


        ในวันที่กำลังท้อ ฉันจะมองดูคนตาบอดรอบๆตัว พวกเขาต้องใช้ความพยายามมากกว่าฉันเป็นแน่ ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกบูดๆเบี้ยวๆนี้ พวกเขาต้องใช้ความพยายามที่จะเรียนรู้ ความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ ความพยายามที่จะทำงานหาเลี้ยงชีพ ความพยายามที่จะเป็นที่ยอมรับของสังคม แล้วฉันล่ะ...พยายามมากพอหรือยัง

 

                      ปรียาวดี เกงขุนทด                                                                                                 พนักงานบริการทั่วไป สำนักหอสมุดเบญญาลัย